วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

ดอกเยอบีร่า


ดอกเยอบีร่า

ลักษณะของเยอบีร่า


          เยอบีร่าเป็นไม้ดอกที่มีลักษณะต้นเป็นกอเตี้ย ๆ มีลำต้นอยู่ใต้ดิน เป็นไม้พรรณพุ่ม ใบและก้านจะงอกจากตาที่ติดอยู่กับลำต้นใต้ดิน ขอบใบหยักเป็นแฉกแต่จะหยักลึกไม่เท่ากัน แผ่นใบนั้นไม่คลี่กางเต็มที่ ขอบใบทั้งสองข้างจะหุบเข้าหาเส้นกลางใบเล็กน้อย ก้านใบและใบมีขนละเอียด ขึ้นอยู่ทั่วไป 

 ดอกเยอบีร่ามีลักษณะเป็นดอกรวมประกอบด้วยดอกย่อยเล็ก ๆ เป็นจำนวนมากอัดกันแน่นอยู่บนฐานรองดอก ดอกย่อยนี้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 
          - ดอกชั้นใน เรียกว่า ดิส ฟลอเร็ต (Disc florets) เรียงอยู่ชั้นในรอบใจกลางดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียของดอกชั้นในส่วนใหญ่จะเป็นหมัน
          - ดอกชั้นนอก เรียกว่า เร ฟลอเร็ต (Ray florets) เป็นดอกตัวเมีย ไม่มีเกสรตัวผู้



ต้นวาสนา




ต้นวาสนา

ลักษณะโดยทั่งไป
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นสูงประมาณ 4-10 เมตร ลำต้นกลมตรง ไม่มีกิ่งก้าน มีข้อถี่ ผิวเปลือกลำต้นสีน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากลำต้นตรงส่วนยอดเรียงซ้อน กันเวียนรอบลำต้นเป็นรูปวงกลม ลักษณะใบเรียวยาว โค้งงอ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน มีสีเขียวถึงสีเขียวอ่อน ขนาดใบกว้างประมาณ 3-6 ซม. ยาวประมาณ 20-40 ซม. ออกดอกเป็นช่อยาวตรงส่วนยอดของลำต้น ดอกมีขนาดเล็กอยู่ รวมกันเป็นกลุ่มตามความยาวของช่อดอก ดอกมีสีขาวถึงเหลืองอ่อน กลิ่นหอมฉุน สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด ชอบแดดจัดแต่ก็อยู่ ในที่ร่มรำไรได้ ควรหมั่นรดน้ำเพื่อให้ดินชุ่มน้ำอยู่เสมอ แต่อย่าให้แฉะ ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละครั้ง หมั่นทำความสะอาดใบ โดยใช้ผ้าเช็ดก็จะดี ช่วยป้องกันแมลงจำพวกเพลี้ยได้
การขยายพันธุ์ โดยใช้ปักชำยอดหรือลำต้น หรือตัดลำต้นเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 6–8 นิ้ว ตั้งใส่ถาดตื้นๆ หล่อน้ำไว้จนแตกหน่อแตกใบ




วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ต้นหมากเหลือง


ต้นหมากเหลือง




ลักษณะโดยทั่วไป
หมากเหลือง เป็นไม้ประดับภายในอาคารที่เป็นที่นิยมมากชนิดหนึ่ง เพราะมีความสวยงาม มีความทนต่อสภาพแวดล้อมภายในอาคารและคายความชื้นให้แก่อากาศภายในห้องได้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่มีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษจากอากาศได้ในปริมาณมากเช่นกัน หมากเหลืองเป็นพืชตระกูลปาล์มที่ปลูกง่าย โตเร็ว เป็นพันธุ์ไม้ขนาดกลาง สูงประมาณ 5–10 เมตร ลำต้นมีลายคล้ายข้อปล้อง โค้งงอและตั้งตรงได้สัดส่วนสวยงาม เจริญพันธุ์ด้วยการแตกหน่อเป็นกอประมาณ 5–12 ต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปขนนก แผ่นใบมีสีเขียวอมเหลือง ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองอ่อนเป็นอยู่ใต้กาบใบ


      

ดอกโป๊ยเชียน







ดอกโป๊ยเชียน

โป๊ยเซียน ต้นไม้แห่งโชคลาภตามความเชื่อถือแต่โบราณ จัดเป็นไม้อวบน้ำอยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae ซึ่งเป็นวงศ์ใหญ่มาก พบได้ทั่วไปในประเทศเขตร้อน พืชในวงศ์นี้มีมากกว่า 300 สกุล  โป๊ยเซียนจัดเป็นพืชที่อยู่ในสกุล Euphorbia ซึ่งพืชในสกุลนี้มีไม่ต่ำกว่า 2,500 ชนิด ได้แก่ คริสต์มาส สลัดได ส้มเช้า หญ้ายาง และ กระบองเพชรบางชนิด   โป๊ยเซียนหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามงกุฎหนาม(Crown of Thorns) เนื่องจากลักษณะของลำตันที่มีหนามอยู่รอบเหมือนมงกุฎ นอกจากนี้ยังมีชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น กรุงเทพฯ เรียก ไม้รับแขก เชียงใหม่ เรียก ไม้ระวิงระไว, พระเจ้ารอบโลก หรือ ว่านเข็มพระอินทร์ แม่ฮ่องสอน เรียก ว่านมุงเมือง แต่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักกันในชื่อ โป๊ยเซียน มาช้านาน คำว่า โป๊ยเซียน เป็นคำในภาษาจีน แปลว่า เทพยดาผู้วิเศษ 8 องค์ ดังนั้นจึงมีความเชื่อกันว่าถ้าโป๊ยเซียนออกดอกครบ 8 ดอกในหนึ่งช่อจะนำความโชคดีให้แก่ผู้ปลูกเลี้ยง ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้สันนิษฐานว่าชาวจีนน่าจะเป็นผู้นำโป๊ยเซียนเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทยครั้งสมัยที่มีการติดต่อค้าขายกับคนไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งแต่เดิมนั้นดอกของโป๊ยเซียนจะมีขนาด 1-2 ซม. เท่านั้น แต่ในปัจจุบันคนไทยได้ผสมพันธุ์และพัฒนาสายพันธุ์โป๊ยเซียนจนมีขนาดดอกใหญ่กว่า 6 ซม. นอกจากนี้ดอกยังมีสีสันที่สวยงามจนอาจกล่าวได้ว่าโป๊ยเซียนไทยดีที่สุดในโลก

การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์โป๊ยเซียนทำได้หลายวิธี คือ  การปักชำกิ่ง  การตอนกิ่ง  การเสียบกิ่ง  การเพาะเมล็ด

การปักชำกิ่ง
เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ง่ายและประหยัดนอกจากนี้ยังขยายพันธุ์ได้คราวละมากๆต้นใหม่ที่ได้จะมีลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการแต่จะใช้เวลาในการงอกของรากนานและโอกาสที่ กิ่งชำจะเน่าก็มีมากดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปักชำจึงควรเป็นช่วงฤดูหนาวคือช่วงประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม



ต้นข่อย



ต้นข่อย
ลักษณะโดยทั่งวไป

ข่อย เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก - กลาง สูง 5-15 ม. ไม่ผลัดใบ ลำต้น ค่อนข้างคดงอ มีปุ่มปมอยู่รอบๆต้น หรือเป็นพูเป็นร่องทั่วไป อาจจะขึ้นเป็นต้นเดียว หรือเป็นกลุ่ม แตกกิ่งต่ำ กิ่งก้านสาขามาก เปลือกสีเทาอ่อน เปลือกแตกเป็นแผ่นบางๆ มียางสีขาวเหนียวซึมออกมา ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับมีขนาดเล็ก รูปใบรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 2 - 3.5 ซ.ม. ยาว 4 - 7 ซ.ม. เนื้อใบค่อนข้างหนา ผิวสากเหมือนกระดาษทรายทั้งสองด้าน ดอกเป็นช่อสีขาวเหลืองอ่อน ออกตามปลายกิ่ง ดอกเดี่ยวแต่รวมกันเป็นกระจุก ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ต่างดอกกัน ผลสดกลม เมล็ดมีขนาดโตเท่าเมล็ดพริกไทย มีเนื้อเยื่อหุ้ม ผลแก่จัดจะมีสีเหลือง ซึ่งมีรสหวาน นกจะชอบกินผลข่อย

กิ่งข่อย ใช้ในการแปรง ฟันแทนแปรงสีฟันได้ แต่ต้องทุบให้นิ่มๆก่อน
เปลือก สามารถรักษาแผล แก้ท้องร่วง ดับพิษภายใน ทาริดสีดวงแก้พยาธิผิวหนัง และเมื่อต้มกับเกลือจะได้เป็นยาอมแก้รำมะนาด
ยาง มีน้ำย่อยชื่อ milk (lotting enzyme) ใช้ย่อยน้ำนม
ราก สามารถนำมารักษาแผลได้แก่น / เนื้อ คนเชียงใหม่ใช้แก่นข่อยหั่นเป็นฝอยมวนเป็นบุหรี่สูบแก้ริดสีดวงจมูกเมล็ด นำมารับประทานเป็นยาอายุวัฒนะได้ และทำให้เจริญอาหาร



วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ดอกมอร์นิ่งกลอรี่สีฟ้า


ดอกมอร์นิ่งกลอรี่สีฟ้า

ต้น เป็นไม้เถาเลื้อยฤดูเดียว เถามีขนาดเล็ก ตามเถามีขนขึ้นปกคลุมจนทั่ว โดยเฉพาะ บริเวณปลายยอด
ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบทั้ง 2 ข้าง หรือใบเป็นรูปหัวใจ
ดอก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรืออาจจะออกเป็นกลุ่ม ๆ หนึ่ง ๆ จะมีประมาณ 5 ดอก รูปทรง ของดอกจะคล้ายกับแตร หรือคล้ายดอกผักบุ้ง มีขนาดเล็กและมีความยาวประมาณ 3 นิ้ว ดอกมีสีต่าง ๆ กัน เช่น สีม่วงอมน้ำเงิน หรือ สีม่วงปนขาว สีขาว สีแดง สีฟ้า สีชมพู
การดูแลรักษา
แสง มอร์นิ่งกลอรี่เป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการแสงมากพอสมควร
น้ำ ควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง ในระยะแรกปลูก แต่เมื่อต้นโตและแข็งแรงดีแล้ว ให้รดน้ำวัน ละ 1 ครั้ง เฉพาะในช่วงเช้าก็พอ

ดิน เจริญงอกงามได้ดีในดินที่ร่วนซุย หรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี

ปุ๋ย
ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักใส่บริเวณโคนต้นปีละ2-3 ครั้ง โดยการพรวนดินรอบ ๆ โคนต้น ก่อน หากต้นไม้มีอาการใบร่วงหรือใบซีดเหลือง ให้รดด้วยยูเรีย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ติด

ดอกพวงคราม


ดอกพวงคราม


ลักษณะทั่วไป
ต้น   พวงครามเป็นไม้เลื้อยที่มีเถาใหญ่แข็งแรง เนื้อแข็ง ลำต้นและกิ่งก้านก็ค่อนข้างแข็ง เถาอ่อนก็มีนแต่เมื่อเถาแก่ขนก็จะหายไปเปลือกของต้นหรือเถาเป็นสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อนเถาพวงคราม สามารถเลื้อยคลุมต้นไม้อื่นไปได้ไกลมากกว่า 20 ฟุต


ใบ  
พวงครามเป็นไม้ใบเดี่ยว ออกใบเป็นคู่ตรงข้ามกันตามข้อต้น ลักษณะใบเป็ฯรูปรี ใบมนกว้าง ปลายใบแหลม โคนใบก็แหลมเช่นกัน ผิวใบสากระคายมือ ใบมีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร และกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร

ดอก  
ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกสีม่วงคราม ลักษษระดอกเป็นกลีบมี 5 กลีบ คล้าย รูปดาว 5 แฉก กลีบรูปขอบขนาน ด้านบนของกลีบจะมีขน โคนกลีบดอกเชื่อมต่อกันเป็นหลอดภายในดอกมีเกสรตัวอยู่ 4 อัน พวงครามมักจะออกดอกและบานพร้อมกันเต็มช่อ ดอกค่อนข้างดก และจะบานทนนานได้หลายวันมาก